
ประกาศใช้แล้ว “มาตรฐานความปลอดภัยเว็บไซต์” ฉบับแรกของไทย
วันที่โพส 17 ก.ย. 2568 ผู้ชม 31
ทำไมต้องมีมาตรฐานนี้
ปัจจุบัน เว็บไซต์ภาครัฐตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบ การแก้ไขหน้าเว็บเพื่อบิดเบือนข้อมูล การสร้างเว็บปลอมเพื่อหลอกประชาชน หรือการใช้เป็นช่องทางแพร่กระจายมัลแวร์
การมีมาตรฐานกลางจึงเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่ทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติตาม เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบสารสนเทศและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
มาตรฐานนี้ถูกจัดทำและประกาศโดย คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช. – NCSA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ในการกำหนดมาตรการ มาตรฐาน และติดตามการบังคับใช้ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ

สิทธิ์-หน้าที่ &ระยะเวลาปรับตัว
-
หน่วยงานภาครัฐมีหน้าที่ต้อง ปรับเว็บไซต์ของตนให้สอดคล้องกับมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อกำหนดเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัย การสำรองข้อมูล การจัดการช่องโหว่ และการแสดงนโยบายที่ชัดเจนต่อผู้ใช้
-
สำหรับบริษัทเอกชน โดยเฉพาะที่บริการทางออนไลน์ มีความเสี่ยงสูงถ้าไม่ได้ทำตาม — อาจถูกฟ้องร้อง, เสียชื่อเสียง, หรือถูกกำกับดูแลลงโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมาย PDPA (คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) ซึ่งมีบทลงโทษในกรณีละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล หน่วยงานควรเตรียมแผนปรับตัวล่วงหน้า เช่น สำรวจเว็บไซต์ทั้งหมดที่ดูแลอยู่, วิเคราะห์ช่องโหว่, จัดสรรทรัพยากรด้านบุคลากร/เทคนิค/งบประมาณ เพื่อดำเนินการตามมาตรฐานใหม่
ความสัมพันธ์กับกฎหมายอื่น &มาตรฐานที่มีอยู่แล้ว
-
กฎหมาย PDPA: เรื่องการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล การแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุข้อมูลรั่วไหล และสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นองค์ประกอบที่ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานเว็บไซต์
-
กฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Act) และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์ที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้ว
-
มาตรฐานภาครัฐเดิม เช่น “มาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ เวอร์ชัน 2.0” ที่มีส่วนเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์อยู่แล้วเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ต้องปรับให้เข้ากับมาตรฐานใหม่
-
มาตรฐานคลาวด์ (Cloud Security Standard) พ.ศ. 2567 ที่ออกโดยคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ซึ่งครอบคลุมการใช้บริการคลาวด์โดยหน่วยงานรัฐ / ภาคควบคุม / โครงสร้างพื้นฐาน สำคัญด้านสารสนเทศ เช่น CSP / CSC ฯลฯ
ผลกระทบ &โอกาสที่มาพร้อมกัน
ผลกระทบ
-
ถ้าเว็บไซต์ใดไม่ปรับตัว: เสี่ยงถูก “ตรวจสอบ” และ “ลงโทษ” ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือถูกตัดสิทธิการให้บริการ (เช่น ประกวดราคากับรัฐ) เพราะขาดตามข้อกำหนด
-
ต้องลงทุน: เรื่องบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทาง, เครื่องมือทดสอบ, การดูแลรักษา (maintenance), ระบบสำรอง, และทรัพยากรอื่น ๆ
โอกาส
-
สร้างความเชื่อถือแก่ผู้ใช้งาน: ผู้ใช้จะมั่นใจว่าเว็บไซต์ที่เข้ามีการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
-
ลดความเสี่ยงจากการโจมตี → ลดต้นทุนจากการแก้ไขหลังจากโดนแฮกหรือข้อมูลรั่วไหล
-
สามารถเป็นจุดขายเชิงบริการได้: สำหรับเว็บไซต์ของเอกชน ถ้าโปรโมตว่า “เว็บไซต์ปลอดภัยตามมาตรฐานแห่งชาติ” อาจช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน
สิ่งที่ควรทำทันที &แผนระยะยาว
-
ประเมินสภาพปัจจุบัน
-
ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ใช้ HTTPS/TLS ที่อัพเดตหรือไม่
-
ตรวจสอบ CMS / modules / plugins มีช่องโหว่หรือยังไม่ได้อัพเดตหรือไม่
-
ทบทวนสิทธิ์ผู้ใช้ (user roles/permissions) ว่าเข้มงวดเพียงพอหรือไม่
-
-
จัดทำนโยบาย &เอกสารทางกฎหมาย
-
Website Security Policy, Privacy Policy, Cookie Policy, Data Breach Policy
-
ประกาศนโยบายให้ชัดเจนบนเว็บไซต์
-
-
ติดตั้งระบบตรวจสอบ &รับมือเหตุการณ์
-
ตั้งทีม /บุคลากรรับผิดชอบด้านความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์
-
มีแผนสำรองข้อมูล (backup) และทดสอบว่า restore ได้จริง
-
ทำ vulnerability scanning / penetration testing เป็นระยะ
-
-
ฝึกอบรม &สร้างจิตสำนึก
-
บุคลากรที่ดูแลเว็บไซต์/webmaster /ทีม IT ต้องรับรู้เรื่องมาตรฐานใหม่และภัยไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น
-
ให้พนักงานทั่วไปรู้วิธีปฏิบัติเมื่อพบเหตุผิดปกติ (เช่น phishing, malware)
-
-
ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
-
มีการรีวิว / audit ภายในให้เป็นประจำ เช่น ทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี
-
ติดตามประกาศกฎหมาย /แนวทางปฏิบัติใหม่ เช่น กฎหมาย PDPA / กฎหมาย Cybersecurity / Notifications ของ NCSC
-